ยินดีต้อนรับสู่วัดสำโรงเกียรติ
 เข้าสู่ระบบ - สมัครสมาชิก  
   Main webboard   »   พุทธศาสนา
 ย้อนกลับ  |  ตั้งกระทู้ใหม่  
Started by
Topic:   มีเพศสัมพันธ์ผ่านอินเตอร์เน็ตเป็นความส่ำส่อน และ เป็นโทษหรือไม่  (Read: 1060 times - Reply: 0 comments)   
yutthakit (Admin)

Posts: 6 topics
Joined: 3/3/2552

มีเพศสัมพันธ์ผ่านอินเตอร์เน็ตเป็นความส่ำส่อน และ เป็นโทษหรือไม่
« Thread Started on 9/5/2552 11:00:00 IP : 124.120.182.73 »
 

มีเพศสัมพันธ์ผ่านอินเตอร์เน็ตเป็นความส่ำส่อน และ เป็นโทษหรือไม่

ถาม – การมีความสัมพันธ์ทางเพศผ่านอินเตอร์เน็ตกับหลายๆคนถือเป็นความสำส่อนหรือ ไม่ครับ? และถ้าเป็นความสำส่อน จะได้รับโทษเท่าข้อหามักมากในกามอันเป็นหนึ่งในอบายมุขหรือเปล่า?



พอ โลกเรามีการสื่อสารผ่านอินเตอร์เน็ต รูปแบบความสัมพันธ์ของมนุษย์เราก็แปลกแหวกแนวไม่ซ้ำสมัยใดขึ้นทุกทีครับ ปัจจุบันมีศัพท์ถูกบัญญัติขึ้นใหม่มากมาย เช่น ไซเบอร์เซ็กซ์ (cybersex) ซึ่งหมายถึงการมีสัมพันธ์ทางเพศทางเครือข่ายคอมพิวเตอร์ อาศัยสื่อเช่น ข้อความตัวอักษร รูปภาพ หรือวิดีโอ แม้ไม่มีการสัมผัสจริงใดๆเกิดขึ้น ก็ยอมรับทั่วไปว่าถือเป็นสัมพันธ์ทางเพศแล้ว
เท่า ที่ทราบคือปัจจุบันคู่ผัวตัวเมียซึ่งต้องไปทำงานต่างจังหวัดหรือต่างประเทศ ต่างก็มีไซเบอร์เซ็กซ์กันเป็นเรื่องปกติ โดยเฉพาะเมื่อมีเทคโนโลยีเว็บแคมและอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงเข้ามาช่วย ก็ทำให้สามีภรรยาไม่ต้องอยู่ห่างกันเกินเอื้อมนัก ตรงนี้ผมเห็นเป็นแง่ดีของเทคโนโลยีที่ช่วยผ่อนหนักให้เป็นเบา ไม่ต้องทนโดดเดี่ยวหงอยเหงาจนหันไปหาทางที่ผิดศีลผิดธรรมกัน ขอเพียงเป็นคู่ครองแท้ๆของตน จะใช้ช่องทางไหนในการมีเพศสัมพันธ์ก็สบายใจและสนิทใจทั้งนั้น



อย่างไรก็ตาม ธรรมชาติของไซเบอร์เซ็กซ์ชวนให้ติดใจอยากไขว่คว้าหาเสรีภาพทางเพศ มากกว่าที่จะถูกจำกัดสิทธิ์เฉพาะคู่ตน คือถ้าได้เสพและลิ้มลองของใหม่ไปเรื่อยๆในที่ลับส่วนตัว จะให้ความสำราญกว่ากันเยอะ เยาวชนจำนวนหนึ่งติดอินเตอร์เน็ตงอมแงมราวกับติดเฮโรอีน ก็เพราะถลำเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับโลกไซเบอร์เซ็กซ์นี่เอง



จาก ตัวคำถามของคุณนะครับ ขอให้พิจารณาคำว่า ‘สำส่อน’ กันก่อน ความหมายของสำส่อนคือ ‘ปะปนอย่างไม่เลือก ไม่เป็นระเบียบ’ ซึ่งโดยพฤตินัยอันเป็นที่เข้าใจทั่วไปแล้ว จะหมายถึงการเป็นพวกชอบมีสัมพันธ์ทางเพศไม่เลือกหน้า



เดิมที ก่อนที่อินเตอร์เน็ตจะครอบงำโลกเหมือนทุกวันนี้ ก็มีโทรศัพท์เป็นช่องทางความสัมพันธ์ทางเพศระยะไกลนำร่องไว้แล้ว ถอยหลังกลับไปก่อนหน้านั้นคงไม่มี เพราะถ้ามีก็ต้องเป็นความสัมพันธ์ทางเพศผ่านโทรเลข ซึ่งไม่อาจเชื่อมความรู้สึกสองฝ่ายให้เข้าหากันแบบสดๆได้ สรุปคือ ก่อน ยุคของโทรศัพท์ ความสำส่อนทางเพศจะหมายเอาเฉพาะที่ถึงเนื้อถึงตัวไม่เลือกหน้า ทว่านับแต่มีโทรศัพท์ให้เชื่อมความรู้สึกถึงกันสดๆในระยะไกล ก็ถึงยุคที่เกิดความสำส่อนทางเพศขึ้นได้ โดยไม่จำเป็นต้องผ่านการสัมผัสเนื้อหนังอีกต่อไป


แม้ไม่ถึงเนื้อถึงตัว แต่ความรู้สึกของคนเราก็ ‘ถึงลูกถึงคน’ หรือ ‘ถึงพริกถึงขิง’ กันได้ กล่าว คือมีความแรงพอจะกล่าวว่าเป็นจริงเป็นจัง มีเจตนาอย่างหนึ่งเกิดขึ้นจริง มีสัมพันธภาพแบบหนึ่งเกิดขึ้นจริง หาใช่แค่จินตนาการหรือฝันกลางวันไปคนเดียวไม่


หากพิจารณา ‘ข้อเท็จจริงทางใจ’ ดังที่กล่าวมา ก็ต้องบอกว่าไซเบอร์เซ็กซ์ชนิดไม่เลือกหน้าจัดเป็นความสำส่อน แต่มีน้ำหนักครึ่งเดียวของความสำส่อนทางกาย เนื่องจากยังไม่มีการถึงเนื้อถึงตัว


นี่ เป็นทำนองเดียวกับกาเมสุมิจฉาจาร การถึงเนื้อถึงตัวจัดเป็นองค์ประกอบสำคัญในการตัดสิน ว่าเป็นกาเมสุมิจฉาจารหรือไม่ กล่าวคือแม้มีเจตนาลักลอบเป็นชู้กับภรรยาชาวบ้าน แต่ยังไม่มีการร่วมกันด้วยอวัยวะเพศชายและหญิง ก็ไม่นับว่าผิดศีลข้อ ๓ แบบขาดทะลุ เพราะยังทำกรรมไม่สำเร็จตามประสงค์ ให้ถือว่าด่างพร้อยเท่านั้น



จะอย่างไรก็ดี แม้จิตสำส่อนมีน้ำหนักเพียงครึ่งหนึ่งของกายสำส่อน ก็หาใช่จะไม่มีโทษเอาเสียเลย เพราะ ราคะและกามกิเลสเป็นสิ่งมีอาถรรพณ์ เมื่อหมกมุ่นหลากหลายแล้วจะทำให้มัวเมาพร่าเลือน เห็นความถูกต้องเป็นเรื่องตลก เห็นความสกปรกเป็นเรื่องธรรมดา พูดง่ายๆคือหากขาดกุศลปัจจัยอื่นๆ เช่น สติ การบุญ การตั้งใจมั่นงดเว้นความประพฤติผิดทางกายและวาจาต่อคนทั่วไปในโลกความจริง ฯลฯ ก็มีสิทธิ์ตัดสินใจผิดพลาดได้ทุกเรื่อง ไม่นับเฉพาะเรื่องทางเพศ



ยก ตัวอย่างที่นักจิตวิทยากำลังถกกัน ก็คือความวิปริตทางเพศอันเกิดจากเสรีภาพไร้ขอบเขต เอาง่ายๆคือสมาชิกของไซเบอร์เซ็กซ์จะขอให้ได้สนุกเป็นหลัก เรื่องปลีกย่อยไม่คำนึง จึงไม่มีการถือสาหาความ หากฝ่ายหนึ่งจะโป้ปดมดเท็จ ชายอาจแกล้งเป็นหญิง หญิงอาจแกล้งเป็นชาย และฝ่ายหนึ่งอาจเขียนกระตุ้นให้อีกฝ่ายเกิดจินตนาการสมจริง โดยที่ตนเองไม่ได้ลงมือแม้แต่น้อย
ทุกคนทราบดีว่าการกระตุ้นที่แรงพอจะทำให้เกิดความสนุกสะใจ แต่ที่ไม่ค่อยมีใครรู้ก็คือผลของการมุสาทางกาเมนั้น มีผลข้างเคียงเป็นของจริง คือความบิดเบี้ยวแห่งพฤติกรรมทางเพศ


ผู้ชาย บางคนอยู่ดีไม่ว่าดี ปลอมตัวเป็นผู้หญิง ซึ่งแค่แฝงๆในเว็บบอร์ดพูดคุยธรรมดาก็นับว่าเสี่ยงกับการเพิ่มดีกรีความเป็น แอบอยู่แล้ว แต่ถ้ายิ่งไปเล่นบทหญิงในไซเบอร์เซ็กซ์ คราวนี้ความรู้สึกนึกคิดและอารมณ์ทางเพศจะถูกดัดแปลงไป กระทั่งอยากเป็นหญิง อยากรู้สัมผัสทางเพศแบบหญิงขึ้นมาจริงๆจังๆ
ฉะนั้น หากพิจารณาโทษอันเกิดจากการเข้าร่วมไซเบอร์เซ็กซ์แล้ว ก็ขอให้เปรียบเทียบกับการคบคนพาล หรือเข้าซ่องสุมกับพวกมักมากในกาม หรือสถานเบาก็ไปมีเอี่ยวกับชุมชนไร้เดียงสา ที่ไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นบ้าง ต่อๆไปจะชวนกันประกอบกิจกรรมหนักเบาดีเลวเพียงใด ทุกเรื่องร้ายเป็นไปได้ทั้งนั้นในสังคมที่ขาดบัณฑิต และยินยอมพร้อมใจตามแรงขับของกิเลสดิบๆ
สรุป คือไซเบอร์เซ็กซ์จะมีแรงเหนี่ยวนำให้ทำผิดอย่างยากจะต้าน และแรงเหนี่ยวนำนั้นจะมาในรูปของใยแมงมุมบางๆที่ค่อยๆถักทอแบบไม่ให้ระคาย สัมผัส ไม่ทันรู้ตัว กว่าจะรู้ตัวอีกทีคุณก็โดนมัดไว้แน่นหนาเกินแก้แล้ว ฉะนั้น คำแนะนำคืออย่าเสี่ยงเอาตัวเข้าไปเกลือกกลั้วเลยเป็นการดีที่สุดครับ เพราะคุณไม่มีทางรู้ล่วงหน้าเลยว่าจะต้องเผชิญกับเรื่องน่าติดใจแบบไหน ยั่วยวนให้หลงผิดวิปริตเพียงใด




ถาม – ถ้าผมรักกับผู้หญิงทางอินเตอร์เน็ต เธออยู่ต่างประเทศ ไม่เคยพบตัวจริง เห็นเพียงรูปและวิดีโอ แต่ก็ตกลงร่วมกันว่าเป็นสามีภรรยา คือต่างฝ่ายต่างก็รู้สึกว่าเป็นของกันและกันแล้ว และสัญญาว่าจะไม่นอกใจ ตั้งใจแต่งงานกันจริงๆเมื่อเธอกลับมาในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า กับทั้งประกาศกับครอบครัวและเพื่อนฝูงที่สนิทให้รู้กันแล้ว อย่างนี้ถือว่าผมกับเธอเป็นคู่ผัวตัวเมียกันแล้วหรือยัง? หากเธอไปมีอะไรกับชายอื่น โดยที่ชายคนนั้นรับรู้ว่าเธอแต่งงานด้วยวาจาแล้ว จะนับว่าชายคนนั้นผิดศีลขอกาเมสุมิจฉาจารหรือไม่ครับ?



เรื่อง ตกลงกันทางวาจาว่าเป็นสามีภรรยากันทั้งที่ไม่เคยเจอหน้านั้น มีมานานแล้วครับ แต่โอกาสที่จะเกิดขึ้นคงน้อยมาก ส่วนใหญ่เป็นแบบอารมณ์วาบหวามรุนแรงพาไป ไม่ได้ยืนอยู่บนพื้นฐานของการมีโอกาสใกล้ชิดกันตามจริง คู่รักทางเน็ตเยอะแยะไป ที่ปักใจเชื่อแน่วแน่ว่าเป็นคู่แท้ เป็นสุขซาบซ่านเมื่อพูดคุยกัน ใกล้ชิดกันผ่านกิจกรรมทางเน็ตแล้วรู้สึกแนบแน่นเป็นจริงเป็นจังเสียยิ่งกว่า นั่งตักคนตัวเป็นๆ




ถ้าว่ากันตามวิถีโลกแล้ว การ แต่งงานที่สมบูรณ์แบบมักไม่ได้เกิดขึ้นจากการตกลงร่วมกันเฉพาะชายหญิงตาม ลำพัง ถ้ายังมีญาติผู้ใหญ่อยู่ ก็ต้องพาไปให้ดูตัว มีมิตรสหายร่วมรับรู้ มีกฎหมายรองรับการเป็นสามีภรรยา มิฉะนั้นให้ถือว่าเป็น ‘แฟน’ ซึ่งปัจจุบันคำว่าแฟนก็อาจหมายถึงคนที่ทดลองอยู่ด้วยกันแบบพร้อมจะแยกทาง ไม่มีข้อผูกมัดชัดเจน
แค่เริ่มตกลงเป็น ‘แฟน’ คือคบหาเป็นคนรักกันเฉยๆ ก็เท่ากับยินยอมเสียอิสรภาพส่วนตนให้แฟนแล้ว เช่น ตรวจสอบชีวิตประจำวันได้ เป็นที่คาดหมายว่าจะต้องซื่อสัตย์ ไม่ไปคบใครเปรอะ เป็นต้น ปัญหาที่มัก สงสัยกันก็คือระดับการคบหาใกล้ชิดแค่ไหน จึงเรียกว่า ‘หมดสิทธิ์’ ยุ่งเกี่ยวกับคนอื่น ถ้าขืนทำเป็นอันว่าต้องโทษกรรมคือกาเมสุมิจฉาจาร



ใน สมัยหรือในท้องถิ่นที่บุรุษมีสิทธิ์เหนือสตรี เช่น สังคมทั่วไปอนุญาตให้ชายมีภรรยาได้หลายคน เรื่องของศีลข้อกาเมสุมิจฉาจารจะไปเน้นกันที่ฝ่ายหญิง กล่าวคือหากมีการ จองตัวกันแม้ด้วยพวงมาลัยคล้องคอ ก็ให้ถือว่าเป็นการหมั้นหมาย เรือนร่างของหญิงนั้นเป็นของต้องห้ามไปแล้ว ไม่ว่าตัวหญิงเองทอดสะพานหรือชายอื่นมาร่วมอภิรมย์ทั้งรู้ว่าเป็นของต้อง ห้าม ก็ถือว่าทำบาปด้วยการก่อเรื่องบาดใจ คือละเมิดศีลข้อกาเมสุมิจฉาจารทันที


แต่ในยุคสมัยหรือในท้องถิ่นที่ชายหญิงมีสิทธิ์เท่าเทียมกัน กายของคู่ครองนับเป็นวัตถุต้องห้ามทั้งสิ้น เมื่อ ตกลงปลงใจเป็นของกันแล้ว และประกาศให้ผู้อื่นทราบแล้ว ไม่ใช่สิทธิ์ของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งที่จะละเมิดข้อห้าม ไปมีเพศสัมพันธ์กับผู้อื่นได้โดยพลการ



กรณี ของคุณไม่ถือเอาพิธีและธรรมเนียมประเพณีเป็นตัวตั้ง แต่อาศัยกำลังใจของทั้งสองฝ่ายเป็นหลัก อาศัยกำลังใจในการทำข้อตกลงร่วมกันนั้น ภาวะสามีภรรยาย่อมเกิดขึ้นจริง ต่างฝ่ายต่างมีสิทธิ์ในกันและกันจริง เช่น พอใครถามแฟนคุณว่ายังโสดหรือแต่งงานแล้ว ความยึดมั่นในข้อตกลงร่วมกับคุณย่อมทำให้ระลึกได้ว่าตนเองไม่โสด ไม่อิสระ มีเจ้าของแล้ว แต่งงานแล้ว หากเธอพูดว่ายังโสด ใจย่อมขัดแย้งกับตนเอง เพราะรู้ว่าไม่ตรงความจริง เป็นเรื่องโกหก เป็นคำมุสา


ทำนอง เดียวกัน เมื่อชายใดจะขอร่วมอภิรมย์ ทางที่จะไม่รู้สึกผิดคือปฏิเสธ และชี้แจงว่าเธอหมดสิทธิ์ทำตามใจชอบแล้ว ไม่ใช่คนโสดแล้ว ถ้าเขายังฝืนทำก็เท่ากับผิดสองกระทง คือขืนใจและละเมิดศีลข้อ ๓ เต็มๆครับ



จะ เห็นว่า ‘การตกลงกันด้วยวาจา’ นั้น ไม่ว่าจะต่อหน้าหรือผ่านอินเตอร์เน็ต ก็ล้วนเป็นกรรมผูกพันร่วมกัน ไม่ใช่ของเล่นที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะละเมิดตามอำเภอใจ ภพหรือภาวะทั้งหลายล้วนเป็นสิ่งที่จิตสร้างขึ้นมายึดไว้ด้วยอำนาจความทะยานอยาก เช่น เมื่อสร้างภพสามีภรรยาขึ้นมาด้วยความปรารถนาครอบครองกัน ก็ต้องมีกติกาประจำภพสามีภรรยา ใครละเมิดกติกาก็ต้องอาศัยกำลังใจฝ่ายต่ำ ยังจิตให้มืดเป็นอกุศล เป็นการก่อบาปเวร ส่วนใครทำตามกติกายับยั้งชั่งใจได้เมื่อมีเรื่องยั่วให้ผิด ก็ต้องอาศัยกำลังใจฝ่ายสูง ยังจิตให้สว่างเป็นกุศล เป็นการทำบุญ






ถาม – มีตำราบอกว่าคนมีคู่ครองอยู่แล้ว ถ้าไปนอนกับหญิงชายใดในที่มืด โดยสำคัญผิดว่าหญิงหรือชายนั้นเป็นภรรยาหรือสามีของตน ก็ถือว่าเป็นกาเมสุมิจฉาจารอยู่ดี เพราะเป็นการล่วงประเวณีกับวัตถุกามต้องห้าม อันนี้เท็จจริงเป็นอย่างไร?



ถ้าหากเชื่อตามนี้ก็ต้องบอกว่าวัตถุกามคือตัวกรรมครับ ตามที่ถูกแล้วพระพุทธเจ้าว่ากรรมคือเจตนา เจตนาคือกรรม


หมายความว่าถ้าไม่มีเจตนาล่วงละเมิด อย่างไรก็ไม่ควรเป็นกาเมสุมิจฉาจารไปได้ กล่าวคือ เมื่อ ตั้งต้น ‘เข้าใจผิด’ เสียแล้วว่าเป็นคู่ของตน ก็ขาดตัวตั้งที่จะเกิดเจตนาละเมิดคู่ของผู้อื่น มีแต่เจตนาว่าเราจะร่วมอภิรมย์กับคู่ของเรา




แล้ว ขอให้ลองนึกดูตามความเป็นจริง คงไม่มีความบังเอิญขนาดที่เกิดการจับคู่ได้เสียกันในที่มืดโดยไม่มีอะไร กระโตกกระตาก แถมบังเอิญอีกชั้น ทั้งสองฝ่ายยังมีอะไรๆเหมือนกับคู่ครองของตนเปี๊ยบ กระทั่งชวนกันเพลิดเพลินไปจนสุดทาง อย่างไรถ้าไม่ใช่คู่ของตนแล้ว ทำไปทำมาก็ต้องผิดสังเกตเข้าจนได้ เมื่อผิดสังเกตแล้วฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเอะอะหรือเปิดไฟ แค่นั้นความก็แตกแล้ว ตรงที่เริ่มรู้ว่าไม่ใช่คู่ครองของตนแล้วยังขืนทำต่อนั่นแหละ กาเมสุมิจฉาจารถึงเริ่มได้ฤกษ์เกิดขึ้นจริง





ถาม – คู่รักที่ฆ่ากันตายด้วยอารมณ์ชั่ววูบ จะต้องไปชดใช้กรรมร่วมกันแบบไหนครับ? พอเจอกันจะผูกพยาบาทอาฆาตคิดอยากฆ่ากันหรือเปล่า? เห็นข่าวแล้วสงสารมากครับ


เหมือน กับคุณถามว่าถ้าเพื่อนชกกันแล้วจะเกิดอะไรขึ้น มันมีความเป็นไปได้หลายแบบ ขึ้นอยู่กับสัมพันธภาพของแต่ละคู่ครับ ผู้ชายชกกันบางทีกลายเป็นมิ่งมิตรที่ตายแทนกันได้ในภายหลัง เหมือนคำเขาว่าถ้าไม่ต่อยตีก็ไม่ซี้กัน แต่บางคู่ชกแล้วเจ็บใจ ผูกพยาบาทอาฆาตขนาดต้องเอาให้ตายกันไปข้างหนึ่งในวันต่อมาก็มี เข้าทำนองหมัดแพ้ปืนไม่แพ้



สำหรับ คู่รักที่ฆ่ากันตายด้วยอารมณ์ชั่ววูบ ก็อาจได้ไปพบกันและรักกันอีก ขึ้นอยู่กับว่าระหว่างที่เคยอยู่ร่วมกัน ได้มีความคิด คำพูด และการกระทำต่อกันดีร้ายเพียงใด ไม่ขึ้นอยู่กับอารมณ์ชั่ววูบถึงขั้นประหัตประหารกันเป็นหลัก
อย่างไรก็ตาม ลงเมื่อพลาดพลั้งสังหารชีวิตกันแล้วก็ไม่แคล้วต้องมีความผูกเวรกันอยู่ เพราะการเบียดเบียนชีวิตกันคือบาปอกุศลที่ต้องใช้กำลังโทสะมหาศาล



ตรง นี้ต้องทำความเข้าใจดีๆก่อนว่า ‘โทสะ’ อาจไม่ได้มาในรูปของความโกรธเกรี้ยวหัวฟัดหัวเหวี่ยงเสมอไป โทสะเป็นกิเลส เป็นธรรมชาติชนิดหนึ่ง ที่มีกำลังผลักดันให้เกิดการเบียดเบียนผู้อื่น นับตั้งแต่การพูดจาว่าร้าย การทุบตี ไปจนกระทั่งการฆ่าฟัน อาการทางจิตของเจ้าตัวผู้มีโทสะนั้น จึงมีลักษณะผลักไส อยากทำให้หายไปจากตา หายไปจากตัว หรือหายไปจากโลกนี้เสียเลย



ยก ตัวอย่างเช่น เมื่อเห็นใครย่างสามขุมเข้ามาจะทำร้ายด้วยท่าทีคุกคาม และคุณก็อยู่ในภาวะจนตรอกหมดทางสู้ สิ่งที่จะเกิดขึ้นกับจิตใจคือ ‘ความกลัว’ ลักษณะของความกลัวคือผลักออก ไม่อยากให้เข้ามา อยากให้สาบสูญไป เป็นต้น




เมื่อคนรักคิดฆ่ากันด้วยอารมณ์ชั่ววูบ ต้นตอของการฆ่าอาจไม่ใช่ความเกลียด หลาย ครั้งการฆ่ากันระหว่างคนรักเกิดขึ้นจากความไม่พอใจอย่างรุนแรงเกินขีดของ ความทนทาน กระทั่งทำให้หน้ามืดบันดาลความคิดชั่ววูบ นั่นคือปลิดชีวิตให้สิ้นลง ความไม่พอใจเกินทนจะได้จบตาม
ในกรณีทำนองนี้ อารมณ์ที่ติดตามเป็นเงาตามตัวฆาตกรไปจึงไม่ใช่ความพยาบาทอาฆาตแค้นอยากคิดเอาคืน แต่เป็นความไม่ได้อย่างใจอย่างรุนแรง หรือเสียใจอย่างรุนแรง



วาระ ที่จิตของมือสังหารดับลง กรรมย่อมตกแต่งภพใหม่เป็นภาวะไม่ได้อย่างใจ เสียใจ น้อยใจ ผูกติดแน่นหนาอยู่กับจิตชนิดหาทางปลิดทิ้งไม่ได้ สภาพที่เขาจะเป็น สิ่งแวดล้อมที่เขาจะเห็น จะบีบให้เขามีแต่โทสะ เต็มไปด้วยความไม่สมใจเป็นหลัก



ส่วนผู้ถูกฆ่านั้น ก็ขึ้นอยู่กับว่ามีกรรมหลักเป็นสว่างหรือมืด และสำคัญคือวาระก่อนขาดใจตายมีความผูกอยู่กับอารมณ์ชนิดไหน



อารมณ์ใกล้ตายของผู้ถูกฆ่ามักเป็นความกลัวผู้ฆ่า ดังนั้นจึงเป็นไปได้สูงที่จิตของผู้ถูกฆ่าจะผูกอยู่กับผู้ฆ่า โดยอาศัยความกลัวนั่นเองเป็นเชือกมัด เมื่อฝ่ายฆ่าก็มีโทสะในทางคิดกำจัดชีวิต และฝ่ายถูกฆ่าก็มีโทสะในทางคิดดิ้นรนหลบหนี ภพที่จะเสวยร่วมกันถัดจากนั้นย่อมเป็นไปในทำนองไล่ล่า กดดัน เสียใจ น้อยใจ หวาดระแวง กลัวลาน ฯลฯ จนกว่าบุญเก่าจะตามฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือทั้งสองฝ่ายได้ทัน การให้ผลของบุญจะมาในรูปความสว่าง เตือนสติให้ระลึกถึงกรรมดีหนหลัง เห็นนิมิตกรรมดี เปลี่ยนสภาพจิตจากอกุศลเป็นกุศล จนอัตภาพตั้งอยู่ในอบายไม่ได้ ต้องเลื่อนขั้นขึ้นมา




เรื่อง ดีๆนั้น โดยมากฝ่ายถูกฆ่ามักนึกออกก่อน กับทั้งเป็นผู้มีกำลังเหนือกว่าในการก้าวขึ้นสู่ภพสูงขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีบุญ มีสำนึกคิดอ่านเพียงพอ ก็ได้ขึ้นมาเป็นมนุษย์ทันที



และ ตามหลักกรรมวิบาก ทำอย่างไรได้อย่างนั้น เมื่อตามกันขึ้นมาเป็นมนุษย์และเจอกันคราวต่อไป ธรรมชาติจะให้อำนาจในการมีสิทธิ์ฆ่ากับอีกคนหนึ่ง เป็นการสลับกัน ซึ่ง นั่นก็คือขึ้นอยู่กับว่าจะมีเหตุบีบคั้นให้อีกฝ่ายนึกอยากฆ่าไหม และเมื่อถึงเวลาเข้าด้ายเข้าเข็มกำลังจะฆ่าแกงกัน ฝ่ายนั้นตัดสินใจให้อภัยหรือเดินหน้าเอาชีวิตจนสำเร็จ



นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมพระพุทธองค์จึงเน้นเรื่องการให้อภัย เรื่องการไม่ผูกใจพยาบาท เรื่องการมีเมตตาจิตเป็นปกติระหว่างมีชีวิต หาก ใครมีใจเป็นสุขเพราะไม่ยึดมั่นความแค้นเคืองใดๆ เขาจะตายด้วยความโล่งอกเสมอ หาความกลัวมาเป็นเชือกผูกจิตให้ติดอยู่กับภพแห่งความขนพองสยองเกล้าไม่ได้ เลย ความเมตตาทำให้คนเราอยู่เป็นสุขระหว่างมีชีวิต และเป็นผู้ไม่กลัวตายแม้จวนตัวกะทันหัน แถมเมื่อเกิดในชาติถัดไป ก็จะติดนิสัยการให้อภัย ไม่คิดทำอันตรายใครถึงชีวิตง่ายๆครับ




ถาม – วันๆเจอแต่เรื่องน่าหดหู่ ทำให้ไม่อยากเป็นมิตรกับผู้คน แม้เมื่อไปทำบุญที่วัดหวังจะเจอเรื่องสงบเย็นบ้าง ก็ไปพบกับเรื่องนินทาว่าร้าย แบ่งก๊กแบ่งเหล่า แล้วจะเป็นไปได้อย่างไรที่คนเราจะรักษาใจให้เป็นบุญได้ตามหลักของพุทธศาสนา?



แต่ ละวันมีเรื่องที่เข้ามากระทบใจ หรือเข้าหูเข้าตาให้รับรู้มากมาย แน่นอนครับว่าต้องก่อปฏิกิริยาทางใจในทางใดทางหนึ่ง ไม่พ้นชอบ ชัง รัก เกลียด นิยม หมั่นไส้ ฯลฯ พูดง่ายๆคือถูกใจเราก็อารมณ์เป็นบวก ผิดใจเราก็อารมณ์เป็นลบ
เรื่องของเรื่องคือ ถ้า เราจะตัดสินใจไหลไปตามกระแส โอกาสที่เป็นไปได้มากคือคุณจะมีอารมณ์เป็นลบมากกว่าบวก เพราะโลกนี้มีแต่เรื่องร้ายๆมากระทบยิ่งกว่าเรื่องดีๆ โอกาสเจอเรื่องดีนั้นยาก โอกาสพบเรื่องร้ายนั้นง่าย



พุทธศาสนาชี้ให้เราเห็นความจริง นั่นคือ ยิ่งจิตของคุณมืดด้วยการสั่งสมอารมณ์ลบมากขึ้นเท่าไร โอกาสได้ไปอบายก็มีสูงขึ้นเท่านั้น ธรรมชาติจะไม่ฟังข้ออ้างว่าคุณขาดกำลังใจ วันๆเจอแต่เศษขยะและกลิ่นน้ำครำเน่าเหม็น ยิ้มไม่ออก สดชื่นไม่ไหว ถึงเวลาธรรมชาติก็แค่ตัดสินว่าคุณมืดมากกว่าสว่าง หรือสว่างมากกว่ามืด เท่านั้นจริงๆที่ธรรมชาติทำ




เมื่อมีพุทธศาสนาแล้ว มีการชี้ให้เห็นความจริงแล้ว ที่เหลือก็คือการตัดสินใจเลือก ว่าจะทำตัวมืดหรือสว่าง ข้อธรรมสำคัญทางพุทธศาสนาหาใช่การบอกว่าอยู่ในโลกนี้ง่ายดาย ตรงข้าม ยิ่งจะดีเท่าไร ก็ยิ่งต้องว่ายทวนสวนกระแสยิ่งขึ้นเท่านั้น



สรุปคือถ้าจะเป็นพุทธแท้ คุณต้องเก่งกว่าคนทั่วไปนะครับ แม้ ตกอยู่ในโลกของการรบกวน คุณก็สงบจิตไว้ไม่รบกวนใครต่อ และแม้ถูกขังให้อยู่ร่วมกับเหล่าอันธพาลจอมเบียดเบียน คุณก็ต้องใจเย็นไม่เห็นเป็นเรื่องบังคับให้เบียดเบียนตอบ


การ เป็นผู้ไม่เบียดเบียนใครก่อน และการเป็นผู้ไม่มีเวรด้วยการพยาบาทอาฆาตใครนั่นแหละ นับได้ว่าเป็นชาวพุทธ นับได้ว่ามีสิทธิ์พ้นทุกข์พ้นร้อนจากวงจรอุบาทว์ วงจรภัยเวรแห่งการเบียดเบียนกันโดยแท้



ข้อ ธรรมว่าด้วยการอยู่ร่วมกับมนุษย์และสัตว์นั้น ได้แก่พรหมวิหาร ๔ ซึ่งสนับสนุนให้จิตมีความสว่างไสวในทุกสถานการณ์ พรหมวิหาร ๔ ได้แก่



๑) เมตตา คือปรารถนาการไม่เบียดเบียนและการให้ผู้อื่นสุขกายสุขใจ ถ้าใจเป็นสุขแล้วอยากให้คนอื่นสุขตาม นั่นแหละเมตตา ถ้าโกรธใครแล้วเห็นจิตตนเอง เห็นโทษอันร้อนแรงของความโกรธในตนเองก่อนเห็นหน้าเขา แล้วเลือกที่จะเอาความเย็น สามารถปล่อยคำพูดกับการกระทำเย็นๆออกไปได้ นั่นแหละสุดยอดของเมตตา



๒) กรุณา คือเต็มใจช่วยหากไม่เหลือบ่ากว่าแรง ถ้าอยู่รอดปลอดภัยสบายตัวแล้วนึกอยากสงเคราะห์ผู้ด้อยโอกาส นั่นแหละกรุณา ถ้าเห็นใครลำบากกระเสือกกระสนแล้วปรารถนาจะทุ่มกายทุ่มใจเข้าไปช่วยกับมือ ไม่นิ่งดูดายกับเสียงร้องขอความช่วยเหลือแม้ต้องกลายเป็นผู้ลำบากเสียเอง นั่นแหละสุดยอดของกรุณา




๓) มุทิตา คือยินดีในความสำเร็จอันเป็นกุศลของผู้อื่น ถ้าเห็นใครทำบุญทำกุศลสำเร็จแล้วชื่นบานยินดีราวกับได้ทำเอง นั่นแหละมุทิตา ถ้าเห็นใครได้มรรคได้ผลหรือพ้นทุกข์พ้นร้อนแน่นอน แล้วเกิดความปลาบปลื้มโสมนัสราวกับตนบรรลุมรรคผลหรือพ้นทุกข์พ้นร้อนเสียเอง นั่นแหละสุดยอดของมุทิตา



๔) อุเบกขา คือวางเฉยเสียได้กับผลกรรมของแต่ละคน ถ้าเห็นตามจริงว่าใครคิด ใครพูด ใครทำอย่างไรก็เป็นคนอย่างนั้น หรือได้รับผลอันสมควรกับการเป็นคนอย่างนั้นแล้ว เขาสร้างที่พึ่งและเครื่องลงทัณฑ์ให้ตนเอง ไม่มีผู้อื่นช่วยได้ เห็นอย่างนั้นแหละอุเบกขา และถ้าเห็นตามจริงด้วยทิพยจักขุอันล่วงประสาทตาของมนุษย์ รู้แจ้งเห็นจริงตลอดสายว่าสัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ถ้าคิดดี พูดดี ทำดีย่อมไปสู่สุคติหลังตาย ส่วนถ้าคิดร้าย พูดร้าย ทำร้ายย่อมไปสู่ทุคติหลังตาย หาใครช่วยอุ้มช่วยพยุงไม่ได้ นั่นแหละสุดยอดของอุเบกขา
หากคุณตัดสินใจยึดหลัก พรหมวิหาร ๔ ดังกล่าวแล้วนี้ จะไม่มีข้ออ้างใดๆเลยครับสำหรับการเอาตัวให้รอดจากทุคติ จิตของคุณจะมีที่อยู่อันสุขสงบ คือมีวิหารเยี่ยงพระพรหมผู้ปราศจากภัยเวร แต่หากไม่ปลงใจยึดหลักพรหมวิหาร ๔ คุณก็จะมีข้ออ้างร่ำไปกับการร้ายตอบโลกเมื่อถูกโลกทำร้าย ที่อยู่ของจิตคุณถ้าไม่ใช่นรกก็ใกล้นรกนั่นเอง




คุณ โอดครวญกับมนุษย์ด้วยกันเช่นผมนี้ได้ แต่พ้นจากมนุษย์ด้วยกัน สิ่งที่เหลือคือธรรมชาติทางใจของตัวเอง ที่คุณจะไม่มีสิทธิ์หือ ไม่มีสิทธิ์ต่อต้านหรือโอดครวญขอความเห็นใจใดๆทั้งสิ้นเลยครับ






ถาม – เราควรตั้งจิตยินดีในความสำเร็จหรือเจริญรุ่งเรืองให้กับคนอื่นอย่างไร เช่นเวลาเห็นคนโกงบ้านโกงเมืองร่ำรวย หรือดาราหนังโป๊ค่าตัวแพง เรายังต้องยึดหลักมุทิตาในพรหมวิหาร ๔ อยู่หรือไม่?


ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจครับว่า การ มีมุทิตาจิตตามหลักพรหมวิหาร ๔ นั้น ไม่ใช่ร่วมยินดีตะพึดตะพือ แต่เป็นการร่วมมีใจเป็นกุศล หรือพูดง่ายๆคืออนุโมทนากับความสำเร็จในบุญของผู้อื่นเป็นหลัก


คำถามนี้ต้องถูกเบี่ยงเบนเสียใหม่อย่างนี้ต่างหากครับ คือ จะไม่อิจฉาริษยา จนพลอยหลงเห็นดีเห็นงามกับการรวยด้วยวิธีโกงกินหรือแก้ผ้าได้อย่างไร? คำตอบสำหรับคำถามนี้ ได้แก่ข้อธรรมสุดท้ายของพรหมวิหาร ๔ คือ ‘อุเบกขา’



การมีอุเบกขาในพรหมวิหารธรรมนั้น หาใช่การเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ ทำไม่รู้ไม่ชี้ ไม่ยินยลสนใจแต่อย่างใด พฤติกรรม ทางกายของคุณอาจต่อต้านรูปแบบความชั่วร้ายตามหน้าที่ข้าราชการ หรือหน้าที่พลเมืองดี เท่าที่ตัวเองจะไปมีส่วนเกี่ยวข้อง แต่พฤติกรรมทางใจของคุณจะต้องไม่โกรธ ไม่เกลียด ไม่อิจฉาริษยา ไม่พลอยเห็นดีเห็นงามตามเขาไป


อุเบกขา ที่ประกอบด้วยความเฉื่อยเฉยไม่รู้ไม่ชี้นั้น เรียกว่าอุเบกขาแบบเอ๋อ ส่วนอุเบกขาที่ประกอบด้วยความรู้เหตุรู้ผลนั้น เรียกว่าอุเบกขาแบบฉลาด พุทธเราสนับสนุนให้คนฉลาด มีปัญญารู้เหตุรู้ผล



ถ้า ยังไม่เคยพิจารณา ก็ต้องพิจารณาเป็นเรื่องๆ เช่น ความรวยของเขาเป็นเพียงภาพลวงตาชั่วคราว เป็นฐานให้เขาหลงผิดคิดมิชอบ เปิดโอกาสให้โกงยิ่งๆขึ้นไปไม่รู้จบรู้สิ้น เพราะวิสัยคนโกงย่อมนิยมการโกงไปตลอดชีพ น่าสงสารเสียมากกว่าที่เขามีเวลา มีเครื่องมืออำนวยความสะดวกในการสั่งสมความมืดเข้าตัว



ถ้า ทนเห็นความร่ำรวยแบบผิดๆชนิดกฎหมายเอื้อมไปทำอะไรไม่ได้ ก็ให้ฝึกพิจารณาข้อดีในความรวยของคนขาดความละอายเยี่ยงเขา อย่างน้อยเขาจะได้เอาไปแบ่งลูกเมียและคนใช้ อย่างน้อยเขาจะได้ไม่ต้องถือปืนปล้นแบงก์ อย่างน้อยเขาเดินสวนกับคุณที่ไหนจะได้ไม่ต้องวิ่งราวคุณ ฯลฯ
สรุป คืออย่ายินดีกับการก่อบาปก่อกรรมของใคร ในขณะที่มองตามจริงไปด้วยว่าเขามีกินก็เพราะมีเหตุปัจจัย ไม่จำเป็นต้องเกลียดเขาเพียงเพราะเขากินแพงกว่าเรา เราเอาตัวให้รอดด้วยการมีจิตที่ไม่เกลียดนั่นแหละ ประเสริฐสุดแล้วครับ

 
   Link to Post - Back to Top

Bookmark and Share

Reply topic :: แสดงความคิดเห็น
ชื่อผู้โพสต์:  เช่น John
ภาพไอคอน:
icon
แปะรูป:
 
รายละเอียด:
Emotion:




Security Code:
Verify Code 
 
   Bookmark and Share
   Main webboard   »   พุทธศาสนา
 ย้อนกลับ  |  ตั้งกระทู้ใหม่  
Advertising Zone    Close


Online: 1 Visits: 254,290 Today: 18 PageView/Month: 571

ด้วยความปราถนาดีจาก "สยามทูเว็บดอทคอม" และเพื่อป้องกันการเปิดเว็บไซต์เพื่อหลอกลวงขายของ โปรดตรวจสอบร้านค้าให้แน่ใจก่อนตัดสินใจซื้อของทุกครั้งนะคะ    อ่านเพิ่มเติม ...